วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แบบฝึกหัดบทที่ 4

1. มนุษย์สัมพันธ์มีความหมายว่าอย่างไร มีความสำคัญต่อองค์การอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ มนุษย์สัมพันธ์หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่มบุคคลในองค์การใดองค์การหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง เพื่อดำเนินการให้องค์การนั้นหรือสังคมนั้นบรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้ ซึ่งมี 2 ลักษณะด้วยกันคือ มนุษย์สัมพันธ์อันดี กับมนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี ถ้ามีมนุษย์สัมพันธ์อันดี บุคคลในองค์การหรือสังคมดังกล่าวมีความรู้สึกพึงพอใจต่อกัน และมีความเข้าใจอันดีต่อกัน ร่วมมือกันประสานงานช่วยเหลือแบ่งปันกัน แต่ถ้ามนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี บุคคลในองค์การหรือสังคมนั้นมักจะไม่ชอบพอกัน ขัดแย้งกันไม่ร่วมมือกัน ไม่ช่วยเหลือต่างคนต่างอยู่หรือกลั่นแกล้งกัน ส่งผลให้งานส่วนรวมขององค์การหรือสังคมนั้นๆเกิดความเสียหาย บุคคลในกลุ่มขาดความสุข ซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของบุคคลทุกคนในกลุ่มนั้นๆไม่มากก็น้อย

2. กลุ่มงานที่มีความสัมพันธ์อันดี มีลักษณะที่ดีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ 1. มีการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตย โดยทุกคนต่างมีสิทธิมีเสียงในการแสดงความคิดเห็นต่องาน รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน และเคารพในมติเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งการทำงานร่วมกันในแบบประชาธิปไตยจะช่วยเสริมสร้างมนุษย์สัมพันธ์ในหน่วยงานได้
2. มีความไว้วางใจและเชื่อใจในความสามารถซึ่งกันและกัน ให้เกียรติและเชื่อถือในความสามารถของเพื่อนร่วมงาน ไม่ก้าวก่ายกัน เพราะการก้าวก่ายมักก่อให้เกิดความขัดแย้ง และสร้างผลเสียมากกว่าผลดี
3. มีการติดต่อสื่อสารที่ดีในหน่วยงาน สามารถสร้างความเข้าใจในงานร่วมกันและยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกันด้วย ถ้ามีการติดต่อสื่อสารที่ดีจะมีส่วนส่งเสริมประสิทธิภาพของงานในการทำงานอยู่ร่วมกันในกลุ่มงานที่ดีนั้น มักใช้การสื่อสารสองทางหรือหลายทางมากกว่าการสื่อสารทางเดียว
4. มีการช่วยเหลือกันในขอบเขตที่เหมาะสม การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน จักว่าเป็นการให้อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นมิตร ซาบซึ้งใจพึงพอใจเกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการให้ในขอบเขตที่เหมาะสม
5. มีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ คือ มีระบบงานที่ดี มีสายงานบังคับบัญชาที่ชัดเจน ทุกคนรู้บทบาทหน้าที่และมีขอบข่ายงานที่กำหนดเด่นชัด การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีขั้นตอน และมีการร่วมมือประสานงานกันเป็นอย่างดี มักส่งผลให้งานสำเร็จและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันด้วย
6. มีการร่วมมือที่ดี เป็นพฤติกรรมของกลุ่มที่มีลักษณะไปในทางเดียวกันของสมาชิกกลุ่ม คือแต่ละบุคคลจะได้รับความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายก็ต่อเมื่อกลุ่มได้รับความสำเร็จ ดังนั้นจึงจัดได้ว่าในการทำงานร่วมกันนั้น ถ้าทำให้ทุกคนร่วมมือกันทำเพื่อให้กลุ่มทำงานสำเร็จได้ ก็จัดว่ากลุ่มดังกล่าวมีความสามัคคีและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
7. ผู้มาร่วมกลุ่มทำงานมีลักษณะที่เอื้อต่อการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี คือมีลักษณะส่วนตัวที่พร้อมอยู่แล้วก็ย่อมส่งผลให้การทำงานกลุ่มเป็นไปด้วยไมตรีอันดี เช่นสมาชิกกลุ่มมีความสมัครใจในการทำงานนั้นรู้สึกมีส่วนร่วมในกลุ่ม รู้วิธีดำเนินงานกลุ่ม รู้นโยบายและเป้าหมายของงาน มีความเป็นกันเองคบคนง่ายมีลักษณะให้กำลังใจผู้อื่น ฯลฯ ด้วยลักษณะของสมาชิกกลุ่มดังกล่าวนี้ มักส่งผลให้เกิดมนุษยสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน

3. แนวทางในการพัฒนาตนเพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน ควรปฏิบัติอย่างไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ 1. ให้ความสนใจเพื่อร่วมงาน คือบุคคลส่วนใหญ่ชอบให้ผู้อื่นสนใจ ดังนั้น จึงควรให้ความสนใจเพื่อนร่วมงานโดยการทักทายปราศรัย ถามในสิ่งดีๆ ของเพื่อนร่วมงาน
2. ยิ้มแย้ม คือการยิ้มของบุคคลที่ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง มักถึงแสดงให้เห็นถึงความนิยมชมชื่น ชอบพอ รักใคร่ จึงเห็นได้ว่าการยิ้มเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างสัมพันธภาพโดยไม่จำกัดสถานะ
3. แสดงการจำได้ วิธีการแสดงการจำได้ เช่น จำชื่อ จำเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ดีๆ ที่เคยเกี่ยวข้องกันกับความสำเร็จที่เพื่อนได้รับ จำวันเกิด วันสมรสของเพื่อนได้
4. เป็นคู่สนทนาที่ดี การแสดงตนเป็นคู่สนทนาที่ดีของเพื่อนร่วมงานนั้น อาจโดยทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดคุยตามความต้องการของเขา ทั้งนี้โดยต้องฟังอย่างตั้งใจฟังเพื่อให้จับใจความได้และตอบสนองตอบคำพูดของคู่สนทนา
5. รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น คือไม่ผูกขาดอยู่กับความคิดของตนเองข้างเดียว ผู้ที่ผูกขาดความคิดเห็นของตนมักเป็นคนที่ชอบเอาชนะเมื่อแสดงความคิดเห็น ถือเอาความเห็นของตนว่าสำคัญกว่าความเห็นของผู้อื่น มักโต้แย้งความเห็นของผู้อื่น ฯลฯ การแสดงต่อผู้อื่น โดยวิธีนี้มักทำให้ขาดเพื่อน ไม่มีใครอยากคบหาสมาคม หัวหน้างานก็มักไม่อยากมอบหมายงานให้ทำงานสำคัญ
6. แสดงการยอมรับนับถือผู้อื่นตามสถานภาพ ทั้งนี้เนื่องจากเพื่อนร่วมงานของเรานั้น บางคนมีอาวุโสด้านอายุอาจสูงส่งด้วยชาติตระกูล อาจมีความรู้สูง อาจมีทักษะประสบการณ์เหนือผู้อื่น หรืออาจมีตำแหน่งงาน เหนือใครอยู่บ้าง ผู้มีจิตใจสูง มีวุฒิภาวะของความเป็นผู้ใหญ่ ควรให้เกียรติและเคารพในศักดิ์ศรีของเพื่อนร่วมงานตามสถานภาพนั้นๆ
7. แสดงความมีน้ำใจ ซึ่งการมีน้ำใจต่อผู้อื่น อาจแสดงออกได้หลายแนวทาง เช่นการเป็นผู้ให้ ให้ความรัก ให้ความห่วงใย แบ่งปัน ช่วยเหลือ ให้อภัย ให้กำลังใจ คุณลักษณะต่างๆ เหล่านี้เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยซึ่งควรรักษาไว้
8. แสดงความชื่นชมยินดี เนื่องจากเพื่อนร่วมงานแต่ละคนในหน่วยงาน มักมีวันพิเศษหรือเหตุการณ์สำคัญของชีวิตด้วยกันทั้งนั้น เช่น อาจจะเป็นวันรับรางวัลพิเศษ การได้เหรียญเชิดชูเกียรติ ซึ่งจัดว่าเป็นการแสดงน้ำใจให้ความสนใจ และยอมรับเพื่อนร่วมงานในความสำเร็จนั้นๆด้วย

4. การวางตนตามสถานะและบทบาทในองค์การแบ่งออกเป็นกี่ระดับ อะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ 3 ระดับ ได้แก่1. การวางตนในการร่วมกับผู้บังคับบัญชา โดยผู้บังคับบัญชา มี่ว่าจะอยู่ในระดับใด ต้องถือว่าเป็นผู้นำในการปฏิบัติงานและเป็นผู้ต้องรับผิดชอบงานในที่ทำงานเหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาจึงต้องให้ความสำคัญกับผู้บังคับบัญชา ให้ความเคารพนับถือ ให้ความร่วมมือ และเชื่อฟังในสิ่งที่ชอบด้วยเหตุและบทบาทหน้าที่
2. การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้อยู่ในระดับเดียวกัน ผู้ที่ปฏิบัติงานในระดับเดียวกัน มักมีอิทธิพลต่อกันและกันในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีบทบาทสูงต่อมนุษยสัมพันธ์ในองค์การ เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกันมากที่สุด และงานหลายงานก็ยังต้องอาศัยความร่วมมือและน้ำใจช่วยเหลือกัน ดังนั้น การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้อยู่ในระดับเดียวกันนั้น จึงต้องวางตนโดยเป็นผู้ให้ให้มากที่สุด
3. การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา โดยการคำนึงอยู่เสมอว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาคือฝ่ายปฏิบัติงานในหน่วยงาน เปรียบเสมือนมือและเท้าของผู้บริหาร ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความสุขในการทำงานก็มักส่งผลเสียต่องาน และมีผลกระทบทางลบมาถึงผู้บังคับบัญชาได้ในที่สุด นอกจากนั้น ผลงานของลูกน้องทุกคนทั้งหมดเมื่อรวมกันแล้วก็คือผลงานของผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาจึงควรต้องให้ความสำคัญกับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ผลงานดี และมีบรรยากาศของความสัมพันธ์อันดีต่อกันด้วย

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

งานที่ 2 22 ส.ค. 2551 การพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ

1. เพิ่มพลังสมองเป็น 10 เท่า

จากผลการทดลองพบว่า 90% ของกำลังสมอง หมดไปกับการคิดเรื่องที่ไม่ก่อประโยชน์ และมักจะใส่ความคิดผิด ๆ ให้สมองของตัวเอง ดังเช่นการทำงานของคอมพิวเตอร์ ถ้าใส่ software ที่ผิด ผลการคำนวณก็ออกมาผิด

ถ้าจะเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ ในทางทฤษฎีพบว่า "สมองมนุษย์เก็บข้อมูลได้เยอะกว่าและสามารถประมวลที่มีความสลับซับซ้อนได้รวดเร็วดีกว่าคอมพิวเตอร์" ถ้าสมมติฐานดังกล่าวเป็นจริง เราก็น่าจะเรียนรู้อะไรได้เร็ว มีความจำเป็นเลิศ แต่ในชีวิตจริงทำไมกลับตรงกันข้าม หรือเป็นเพราะเราไม่รู้ว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เรียนรู้ช้าและปัจจัยอะไรที่ทำให้เรียนรู้ได้เร็ว เมื่อคุณพบคำตอบ คุณอาจค้นพบตัวเองก็ได้

2. ทำไมเราจึงเรียนรู้ช้า

เพราะขาดความสามารถในการจดจ่อความคิดต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานได้ และไม่สามารถควบคุมความคิดให้คิดในทางที่สร้างสรรค์ได้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกชักจูงความคิดให้โดดไปมา คิดเรื่องในอดีตหรือเรื่องที่ก่อความทุกข์ให้กับตัวเอง และมักปล่อยให้ความคิดในทางทำลายตัวเองเข้ามาบั่นทอนประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ทำให้เรียนรู้ช้า คิดไม่ชัดเจนหรือคิดไม่ทัน ดังนั้น ตราบใดที่ยังไม่สามารถตั้งใจคิดได้ คุณก็จะไม่พบคำตอบ

3. ทำอย่างไรจึงจะเรียนรู้ได้เร็ว

1. เปลี่ยนความคิดจากทางลบ (Negative) มาเป็นทางบวก (Positive)

- ทำงานอย่างมีเป้าหมาย ถ้าอยากฉลาดแบบนักคิดระดับโลก ก็ต้องคิดเหมือนพวกเขา คือ ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเป้าหมาย เช่น ก่อนจะอ่านหนังสือก็ต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังจะอ่านอะไร อ่านไปเพื่ออะไร เป็นต้น
- ต้องรู้ระบบความคิดของตนเองก่อนว่าความคิดไหนทำให้เราคิดในทางลบ เช่น เมื่อเราเห็นคนอื่นทำไม่ได้ เราจึงคิดว่าเราทำไม่ได้ เชื่อว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะความจำไม่ดี เป็นต้น
- ตัดความคิดในทาง Negative ทิ้งแล้วใส่ความคิดในทาง Positive ลงไปแทนที่ เช่น คนอื่นทำไม่ได้ช่างเขา เราทำได้ก็แล้วกัน ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้ เป็นต้น

2. หัดผ่อนคลายทั้งกายและใจ

จากการทดลองพบว่า คนเราจะเรียนรู้ได้เร็วเมื่ออยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายทั้งกายและใจ ดังนั้น เราควรรู้จักผ่อนคลายจิตใจบ้าง เช่น ฝึกโยคะ ฝึกสมาธิ หรือการสวดมนต์ อาจกล่าวได้ว่า การผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ช่วยยับยั้งความคิดทาง Negative ได้ชั่วคราว

3. พยายามสังเกตว่าตัวเองเรียนรู้ได้ดีจากสื่อใด

ถึงแม้สมองจะมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่รูปแบบหรือวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนเรียนรู้ได้เร็วจากการพูดคุยกับผู้อื่น การอ่าน ต้องคิดหาตรรกะ (logic) ด้วยตนเอง ต้องเห็นด้วยตา ถ้าฟังไม่เข้าใจต้องเขียนหรือดูภาพ หรือบางคนต้องฟังอย่างเดียว ดังนั้น ถ้าเราต้องการเพิ่มประิสิทธิภาพในการเรียนรู้ให้ดีขึ้น จำเป็นต้องสำรวจตัวเองว่า

- รูปแบบการเรียนรู้แบบใดทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว
- ในช่วงเวลาใดของวันที่เรามีสมาธิสูงสุด กระตือรือร้นสูงสุด

4. พยายามสร้างจุดเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับสมอง

จะช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลและดึงข้อมูลมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจใช้การตั้งคำถาม การเปรียบเทียบข้อมูล เพราะสูงสุดของการเรียนรู้ คือ การนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์

5. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ

นอกจากจะทำให้มีความสดชื่น กระตือรือร้นแล้ว เมื่อออกกำลังกายนานติดต่อกัน 12 - 20 นาที จะส่งผลให้สมองทำงาน (function) ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้สมองทั้ง 3 ส่วน คือ สมองส่วนซ้าย ส่วนขวา และส่วนกลาง ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างสะดวก ทำให้สามารถใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถใช้สมองทั้ง 3 ส่วน ได้พร้อม ๆ กันในเวลาเดียว

6. ควรเข้าใจการทำงานของสมอง

การทำงานของสมองในส่วนความจำจำทำงานได้ดีในเวลาที่ต่างกัน ดังนี้
- ช่วงเช้า ความจำระยะสั้น
- ช่วงบ่าย ความจำระยะยาว
- ก่อนนอน ความจำเกี่ยวกับตัวเลข

4. ทำอย่างไรจึงจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ในแต่ละแบบได้

ตามที่ได้กล่าวแล้วว่า แต่ละคนจะมีความสามารถในการเรียนรู้ต่างกัน บางคนจะเรียนรู้ได้ดี จากการพูดคุยหรือจากการอ่าน เป็นต้น ดังนั้น วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของสมองย่อมแตกต่างไปตามรูปแบบการเรียนรู้ ดังนี้
1. การสร้างความจำ

ทางกายภาพสมองมนุษย์สามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้ภายในเวลา 1/1000 วินาที ข้อมูลที่ได้รับจะอยู่ภายในสมองครบถ้วนโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่เราไม่สามารถดึงข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ได้ สาเหตุหนึ่งมาจาก "การลืม" ทุกครั้งที่ได้รับข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การอ่าน ฟัง หรือคิด เป็นต้น จะเกิดอัตราการลืมโดยเฉลี่ยภายใน 5 นาที จะจำข้อมูลได้ 50% และถ้าผ่านไป 1 วัน จำได้ 10% จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ แต่ข้อมูลทั้งหมดยังอยู่ในสมองของเรา

2. การอ่าน

information if power ในสังคมปัจจุบันใครที่มีข้อมูลมากก็ย่อมมีความคิดที่ลุ่มลึกกว่า และความคิดก็จะนำมาซึ่งเงินทอง ฐานะ ตำแหน่ง และอำนาจ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการอ่าน เราควรทราบวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านด้วยวิธีง่าย ๆ อันดับแรก คือ ถามตัวเองก่อนว่า "เราต้องการประโยชน์อะไรจากการอ่านในครั้งนี้"

เทคนิคในการอ่านเร็ว

1. ควรอ่านไม่มีเสียง อ่านในใจ
2. การอ่านจับใจความสำคัญ เพื่อหาประเด็นที่ผู้เขียนต้องการสื่อ สามารถทำได้โดย เริ่มต้นการอ่านด้วยการหา Key concept แล้วตัดสินใจว่าจำเป็นต้องอ่านหรือไม่ เราต้องการรู้อะไร และจะอ่านส่วนไหนบ้าง รวมทั้งอ่านเจาะประเด็น ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องเสียเวลาอ่านทุกหน้า
3. ต้องประเมินแหล่งข้อมูล เพราะประโยชน์สูงสุดของการอ่าน คือ การนำข้อมูลมาใช้ จึงจำเป็นต้องประเมินความน่าเชื่อถือ และแหล่งที่มาของข้อมูล โดยการพิจารณาจากความทันสมัย (update) ของข้อมูล สำนักพิมพ์ เป็นต้น

3. การฟัง

ตามทฤษฎีที่ว่าข้อมูลที่เราได้รับทุกอย่างจะถูกบันทึกในสมอง ถ้าได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในทางบวกเยอะ ๆ ย่อมทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่บวก พร้อมที่จะแก้ปัญหามากกว่ายอมแพ้ปัญหา ดังนั้น เราควรกลั่นกรองแต่ละข้อมูลที่เราได้รับ ก่อนที่ข้อมูลนั้นจะถูกบันทึก (memory) ลงในสมอง ซึ่งมีกลวิธี ดังนี้

1. ประเมินผู้พูด : มีความน่าเชื่อถือหรือไม่
2. self-talk : ถามตัวเองตลอดเวลาว่า "ผู้พูดต้องการพูดเพื่ออะไร"
3. ฟังด้วยความรู้สึก : ใช่หรือไม่ใช่


4. การคิด

คนที่ประสบ่ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมี IQ สูง แต่ต้องมีความคิดอย่างเป็นระบบ และคิดอย่างสร้างสรรค์ ในเรื่องที่มีประโยชน์

ที่มา : สลค. สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 5 เดือนพฤษฎาคม 2549
http://www.moe.go.th/check/newnaru13.htm

งานที่ 1 22 ส.ค. 2551

หลากมารยาทดีๆ ในที่ทำงาน


การรู้จักกาลเทศะ มีมารยาทและวางตัวดีในที่ทำงานจะช่วยให้การงานราบรื่น ช่วยผ่อนความเครียดที่อาจเกิดจากคนรอบข้างได้ มันไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคะกับการทำงานกับคนมากมายทุกๆ วันโดยที่คนเหล่านั้นไม่ใช่เพื่อนหรือคนที่รู้จักคบหากันมาก่อน ดังนั้นการเรียนรู้มารยาท และการวางตัวในที่ทำงาน ก็จะช่วยให้การงานราบรื่นขึ้น ลองนำเคล็ดลับไปใช้ดูซีคะ

1. ควรทำตัวอย่างไรในการแนะนำตัว

คุณควรรอให้อนุญาติให้นั่งเสียก่อนแล้วจึงนั่งลง หากได้รับคำถามว่าดื่มชา กาแฟมั้ยก็ควรตอบรับเพื่อช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น ที่สำคัญคืออย่าไปสาย ควรตรงต่อเวลาและให้เวลากับการแนะนำตัวเองอย่างไม่จำกัดเวลาแม้ว่าคุณอาจพลาดกับรถเที่ยวต่อไปก็ตาม เพราะหากคุณบอกว่า "ดิฉันต้องไปแล้วค่ะ" นั่นอาจหมายถึงว่าคุณต้องลาจากชั่วนิรันดร์

2. พนักงานใหม่ควรวางตัวอย่างไร

หากคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีกับผู้ร่วมงานในที่ทำงานใหม่ก็อย่าเพิ่งกังวล คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองทันที แรกๆ คุณควรศึกษากฎระเบียบเสียก่อนและสังเกตุขนบธรรมเนียมและมารยาทในที่ทำงานใหม่เพราะคุณอาจทำงานได้ดีมากแต่อาจทำผิดสังคมในที่ทำงานได้ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรเลี้ยงฉลองอะไรในวันแรก แต่ให้ผ่านช่วงทดลองงานไปก่อน

3. ทำอย่างไรดีกับเพื่อนร่วมงาน

คุณจัดการกับโต๊ะทำงานของตัวเองได้ แต่ไม่ควรยุ่งกับโต๊ะทำงานของคนอื่น และไม่ควรเอาของใช้ เช่น กระเป๋าหรือสิ่งของไปวางในพื้นที่ทำงานแม้ว่าคุณอยากจะโชว์ให้เพื่อนร่วมงานเห็นก็ตาม นอกจากนี้ความเครียดจะเกิดขึ้นถ้าคุณเอาตัวไปเบียดใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานเพราะมนุษย์ส่วนมากมักมีความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ห่างกันหนึ่งช่วงแขน กฎในออฟฟิศอีกอย่างก็คือ เมื่อคุณจะไอหรือจามก็ควรออกนอกห้อง

4. หลีกหนีเพื่อนร่วมงานจอมเมาท์อย่างไรดี

ขณะที่คุณกำลังคุยโทรศัพท์อยู่แล้วเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเข้ามาป้วนเปี้ยนในห้องคุณและคอยจับผิด ให้คุณถามว่า มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ หรือบอกว่า เดี๋ยวคุณจะตามไป หรือบอกไปว่าคุณกำลังสะสางงานอย่างเร่งด่วนอยู่ หากคุณเห็นว่าไม่เหมาะที่จะทำตัวสนิทสนมด้วยก็ให้รักษาระยะห่างไว้

5. จำเป็นต้องไปสรวลเสเฮฮาหลังเลิกงานด้วยมั้ย

หากเพื่อนร่วมงานชวนคุณไปดื่มหรือเข้าร้านอาหารหลังเลิกงาน แต่คุณไปไม่ได้ก็ควรกล่าวคำขอโทษ เช่น "ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่บังเอิญติดธุระ" และหากคุณไปด้วยก็ควรอยู่ด้วยอย่างน้อยที่สุด 15 นาที

6. ทำอย่างไรดีเมื่อถูกจับได้ว่านินทาคนอื่น

คุณกำลังนินทาเรื่องไม่ดีของผู้ร่วมงานคนหนึ่งอยู่โดยที่เธอยืนอยู่ข้างหลังคุณ ดังนั้นคุณจึงควรกล่าวคำขอโทษและบอกว่า คุณไม่ได้หมายถึงอย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ และแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของคุณด้วยการช่วยเหลือเธอ เปิดเผยและซื่อสัตย์

7. เจอเพื่อนร่วมงานกลางทาง

ให้คุณเดินไปหาและทักทาย หากคุณไม่แน่ใจว่าเพื่อนร่วมงานอยากจะทักคุณหรือไม่ ก็ให้คุณพยายามสบตาด้วย หากเธอมองไปทางอื่นก็แสดงว่าเธอไม่อยากทักทายคุณ แต่ถ้าคุณอยู่ใกล้ประตูรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ก็ให้หยุดรอตอนขาลงและทักทายเธอ คุณก็จะได้เพื่อนร่วมทาง หรือหากคุณไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยก็ต้องขึ้นรถเช้ากว่านี้เพื่อไม่ต้องเจอกัน

ในลิฟต์ บางคนกลัวการอยู่ในที่แคบ เช่น ในลิฟต์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กลัวการอยู่ในที่แคบและเจอผู้ร่วมงานในลิฟต์ก็ควรทักทายแล้วจะหันหน้าไปทางประตูลิฟต์ก็ไม่มีใครว่าและควรถามคนอื่นด้วยว่าอยู่ชั้นไหนแล้วกดลิฟต์ให้ด้วย

8. ไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือเข้าที่ประชุม

เพราะมันมักรบกวนห้องประชุม หากคุณจำเป็นต้องรอโทรศัพท์สำคัญก็ให้บอกกับทางโน้นว่าในช่วงเวลานี้ คุณติดประชุมไม่อาจรับโทรศัพท์ได้ หรือระหว่างพักการประชุมก็โทรศัพท์ไปหาได้ หากคุณตั้งสัญญาณสั่นสะเทือนไว้ ก็ให้ออกไปพูดนอกห้องประชุม

9. การโต้ตอบอีเมล

ควรตรวจเช็กและตอบอีเมลวันละอย่างน้อยที่สุด 2 รอบ ตอนเช้า กลางวันและที่ดีที่สุดคือตอนเย็น หากคุณไม่สามารถตอบได้ทันที ก็ให้ส่งข้อความสั้นๆ ว่าคุณไม่อยู่ 2-3 วัน และบอกด้วยว่าคุณจะอยู่ในออฟฟิศอีกครั้งเมื่อไหร่ นอกจากนี้ก็ควรเขียนอีเมลอย่างระมัดระว้ง ถูกต้องและไม่มีข้อผิดพลาด และบันทึกไว้อย่างมีระเบียบเพื่อที่คุณจะได้หาได้ง่ายเมื่อต้องการค้นหา ไม่ควรใช้คำย่อ มีคำขึ้นต้นและลงท้ายอย่างมีมารยาท

นกกากับเหยือก


มีอยู่ในหน้าร้อนของวันหนึ่ง ด้วยปีนี้เป็นปีที่มีอากาศที่ร้อนมาก และความร้อนแบบสุด ๆนั้นได้ผ่าน ติด ๆต่อเนื่องกันมาหลายวันเลยทีเดียว พระอาทิตย์ได้ส่องแสงแผดเผาไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นน้ำในห้วย หนอง คลอง บึง จึงแห้งผากจนไม่มีน้ำหลงเหลือติดอยู่เลยแม้สักน้อยนิด ฝูกกาซึ่งมีแม่กาและลูก ๆทั้งหมด 7 ตัวของมัน ได้พยายามบินหาน้ำดื่มด้วยความกระหายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง และด้วยความกระหายอย่างมาก พวกลูก ๆจึงร้องเร่งเร้าแม่กาเป็นการใหญ่ว่า " แม่จ๋า...หิวน้ำจังเลย ทำยังไงดี " แม่กาเมื่อเห็นลูก ๆ ร้อง กระหายน้ำอย่างนั้น...และมันก็นึกได้ถึงบางสิ่งที่เป็นแหล่งหาน้ำดื่มขึ้นมาได้ จึงได้ตอบกับลูก ๆไปว่า " หิวน้ำมากหรือลูก ถ้าอย่างนั้น ก็บินตามแม่มาทางนี้ก็แล้วกัน "



แม่กานั้นครั้งหนึ่งมันได้เคยเห็นพวกมนุษย์กำลังทำการตักน้ำกันที่บ่อน้ำบาดาลแห่งหนึ่งเข้า และมันก็นึกขึ้น ได้ถึงสถานที่ ๆ แห่งนั้น " แม่จะพาไปที่บ่อน้ำบาดาลที่แม่เคยได้เห็น แล้วลูก ๆ ก็จะได้กินน้ำแก้กระหายกันได้ อย่างแน่นอนเชื่อแม่สิ " พวกนกกาแม่ลูกฝูงนั้นพากันบินมาที่บ่อน้ำบาดาลที่อยู่ใกล้ ๆกับไร่แห่งหนึ่ง และเมื่อมันทั้งหมดบินมาถึงที่หมาย ก็พบว่าที่ใกล้ ๆกับตรงบ่อน้ำบาดาลนั้นได้มีเหยือกน้ำขนาดใหญ่ใบหนึ่ง ตั้งอยู่ ที่ก้นของเหยือกน้ำใบนั้นได้มีน้ำขังอยู่ แต่พวกมันไม่สามารถที่จะเอาปากยื่นลงไปกินน้ำในเหยือกนั้นได้


" แม่จ๋า...ปากยื่นลงไปไม่ถึงก้นเหยือกหรอก จะทำยังไงดีล่ะแม่..." ลูกการ้องบอกแม่ของมัน แม่กาก็ได้แต่สั่น หัวด้วยจนปัญญาเป็นที่สุด แต่แล้วในขณะนั้น ได้มีลูกกาตัวสุดท้องตัวที่เล็กที่สุดในฝูงซึ่งจะเป็นด้วยความที่มัน กระหายน้ำเป็นอย่างมากจึงเกิดนึกโมโหขึ้นมา มันได้บินไปคาบเอาหินก้อนหนึ่งมาได้ แล้วโยนลงไปในเหยือก น้ำนั้นอย่างแรงเสียงตัง " จ๋อม... "ด้วยความโมโหที่อยากกินน้ำแล้วไม่ได้กิน อะไรทำนองนั้น แม่กาเมื่อเห็นดังนั้น จึงได้รีบบอกกับพวกลูก ๆ ว่า " ใช่แล้วสิ....ลูกก็เอาก้อนหินใส่ลงไปในเหยือกอย่างที่เจ้าตัวเล็กมันทำ เท่านั้นเอง แล้วน้ำก็จะเอ่อสูงขึ้นมาจนถึงปากคอเหยือกเลยทีเดียว ไป๊บินไปเอา ก้อนหินมาใส่ลงไปให้มาก ๆ จนกว่าแม่จะบอกให้พอ... เร็ว ๆ ลูก "


พอจบคำแม่เท่านั้นพวกลูก ๆ กาก็ช่วยกันบินไปคาบเอาก้อนหิน มาและใส่ลงไปในเหยือกกันเรื่อยๆจนกระทั่ง น้ำในเหยือกนั้นได้ล้นขึ้นมาจนถึงปากเหยือก " พอแล้วลูก คราวนี้ก็เชิญพวกเจ้าดื่มน้ำกันตามสบายได้แล้วลูก " แม่กาพูดบอกกับพวกลูก ๆ ของมัน จึงเป็นด้วยเหตุนี้ นกกาและลูก ๆจึงได้มีน้ำดื่มอยู่เป็นเวลานานเลยทีเดียว



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ถ้ามีความพยายามเพียงพอ ก็จะสามารถทำในสิ่งที่เห็นครั้งแรกว่ายากเหลือเกิน นั้นได้สำเร็จ

ที่มา

ม้ากับลาต่าง

ในฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าวมากของวันหนึ่ง พ่อค้าคนหนึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องนำของ ไปขายในที่ต่างเมือง เขาคิดจะถนอมม้าเอาไว้ใช้เมื่อถึงแต่คราวที่มีความจำเป็น เท่านั้น จึงเอาสินค้าทั้งหมดใส่ไว้บนหลังลา ส่วนม้านั้นเขากลับปล่อยให้เดินตัว เปล่าไม่ได้บรรทุกของอะไร ลาเมื่อถูกบรรทุกของหนัก ๆ และตอนนั้นก็กำลังเจ็บอยู่ด้วย มันจึงพูดอย่างน่าสงสารกับม้าว่า " ท่านม้า ๆ ข้ามีอะไรจะขอร้องให้ท่านช่วยสักอย่าง หนึ่งได้ไหม ? "


ม้าเมื่อได้ฟังดังนั้นก็หันมามองแล้วทำท่าฟังอย่างไม่ค่อยที่จะเต็มใจสักเท่าไหร่นัก แต่ลาก็พูดต่อไปว่า" ข้าไม่สบาย และกำลังเจ็บอยู่ ช่วยแบ่งของไปจากหลังข้าบ้างเถิด ข้าไปไม่ไหวแล้ว ถ้าท่านช่วยแบ่งเบา ภาระอันหนักอึ้งนี้ไปได้บ้าง บางทีข้าอาจจะกลับมีแรงขึ้นมาบ้างก็อาจเป็นได้ ถ้าท่านไม่ช่วย ข้าคงจะต้องตายเป็นแน่ แท้" แต่ม้ากลับตอบกลับมาอย่างโมโหว่า "ช่างเป็นเรื่องที่บ้าบอคอแตก อะไรเช่นนี้ เจ้าพูดมาได้อย่างไร เจ้าไม่รู้หรือไงว่าขาที่สำคัญของข้านี่น่ะมีเอาไว้สำหรับวิ่งให้ เร็วแต่เพียงอย่างเดียว แล้วถ้าข้าเกิดมาช่วยเจ้าแบกของหนัก ๆ อย่างนั้น แล้วเกิดขาที่สำคัญของ ข้ามีอันต้องซ้นหรือฝกช้ำดำเขียวขึ้นมาแล้วล่ะก็ ใครจะเป็นคนรับผิดชอบให้ล่ะ เจ้านี่คิดบ้า ๆ เสียจริง ๆ ทนไปอีกหน่อยเถิดเดี๋ยวอะไร ๆ มันก็ดีขึ้นมาเองแหละ อย่าบ่นไปนักเลย"


ลาจึงไม่พูดอะไรต่อไปอีก อุตส่าห์เดินต่อไปในไม่ช้ามันก็หมดแรงล้มลงและขาดใจตายไป ตรงนั้น เจ้าของเมื่อเห็นดังนั้นก็แก้เอาสินค้าที่อยู่บนหลังลาทั้งหมดเอามาใส่ไว้บนหลังม้า เท่านั้นยังไม่พอยังแถมเอาศพของลาบรรทุกเพิ่มเข้าไปให้อีกด้วย ม้าจึงจำต้องเดินไปบ่นไปว่า " พุทโธ่ เอ๋ย เรานี่ชั่วเสียจริง ๆ ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถ้าตอนนั้นจะช่วยเจ้าลามันสักครึ่ง หนึ่ง บางทีมันอาจจะไม่ต้องมาตายไปเสียอย่างนี้ เฮ้อ...แล้วเป็นไงล่ะ เดี๋ยวนี้ตอนนี้ ต้องมาบรรทุกของหนักอย่างเดียวยังไม่พอ มิหนำซ้ำยังมีศพของเจ้าลามันเพิ่มเข้าไป ให้อีก ซวยบรมไปเลยเห็นไหมล่ะ"


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ไม่ทุกข์บ้างเป็นไม่รู้ว่าอย่างนั้น...คนที่ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือความทุกข์ของผู้อื่น ทุกข์นั้น ก็อาจจะมาตกกับตัวเองบ้างดังนี้แล

ที่มา


วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แมวที่อยากจะเป็นเจ้าสาว

มีมี่ นางแมวสาวตัวหนึ่ง ขณะที่มันกำลังไล่จับหนูอย่างเพลิดเพลินตามนิสัยและสันชาติญาณดั้งเดิมที่ สืบทอดต่อ ๆกันมาจนเข้าไปในสายเลือด ซึ่งลบไม่ได้ของพวกแมว อยู่ในที่ที่แห่งหนึ่ง ขณะที่มันกำลัง เอื้อมมือเพื่อจะจับหนูตัวหนึ่งกินอยู่นั้น มันเผอิญเหลือบไปเห็นชายหนุ่มรูปงาม หน้าตาดีคนหนึ่งเข้า " โอ๊ะ... ทำไมถึงหล่ออย่างนี้นะ " เพียงแค่เห็นเป็นครั้งแรกเท่านั้น มันก็เกิดตกหลุมรัก และหลงไหลในตัวชาย หนุ่มผู้นั้นเข้าให้อย่างจัง เหมือนโดนนะจังงังเข้าให้เต็มเปาเลยทีเดียว



" นี่ถ้าฉันเป็นมนุษย์แล้วละก็ จะต้องได้แต่งงานกับชายหนุ่มสุดหล่อคนนั้นอย่างแน่นอน " นางแมวสาวเฝ้า ครุ่นคิด ถึงแต่ชายหนุ่มอยู่แต่อย่างเดียว จนไม่เป็นอันกินอันนอน ดังนั้นนางแมวสาวจึงตัดสินใจไปหา เทพธิดาแล้วอ้อนวอน อย่างน่าสงสารว่า " ได้โปรดเถิดเทพธิดาผู้มีฤทธิ์ ขอให้ท่านได้โปรดเมตตา เสก ให้หม่อมฉันกลายเป็นมนุษย์ด้วยเถิดเพคะ หม่อมฉันหลงรักชายหนุ่มผู้นั้นอย่างเหลือเกิน " เทพธิดาจึง เสกให้ มีมี่นางแมวสาวกลายเป็นมนุษย์ และบอกกำชับกับมีมี่ว่า " เป็นคนแล้วก็จะต้องทำทุก อย่างแบบคนด้วยนะมีมี่ เจ้าจะต้องใช้ชีวิตแบบคนจริง ๆห้ามลงลืมเป็นอันขาด "


เมื่อนางแมวสาวมีมี่ได้กลับกลายเป็นคนแล้วก็ได้สมรักและได้แต่งงานกับชายหนุ่มรูปงามที่นางตกหลุมรักคน นั้นทันที และด้วยมีมี่นั้นสวยงามบาดตาบาดใจยิ่งนัก ชายหนุ่มให้เป็นแสนที่จะดีใจที่ได้ภรรยาที่สวยงาม จึงพามีมี่ไปอาศัยอยู่ที่บ้านของตนอย่างมีความสุขเรื่อยมา



แต่เมื่อได้มาอยู่ด้วยกันแล้วแทนที่จะมีความสุข มีมี่กลับยังคงไม่ละทิ้งสันดานเดิมซึ่งเป็นแมวของนางเลย สักนิด คือวัน ๆนางจะเอาแต่นอนจับเจ่าอยู่อย่างนั้น วันทั้งวันจะนอนอย่างเดียว ไม่ได้หยิบฉวยหรือนึกจะทำ อะไรสักอย่าง เรื่องการกินและการเรือนก็ไม่ยอมแตะต้อง ชายหนุ่มผู้สามีให้เป็นแสนที่จะเบื่อหน่าย กับความขี้เกียจของภรรยาอย่างมาก " ที่แท้ก็เป็นผู้หญิงที่เกียจคร้านสันหลังยาวเสียจริง ๆ " เทพธิดา ซึ่งคอยส่องทิพเนตรมามองดูนางแมวสาวมีมี่อยู่เสมอ จึงเกิดพิโรธที่มีมี่ไม่ยอมละทิ้งสันดานเดิมของแมว



แต่เทพธิดาก็ยังคิดที่จะให้โอกาศกับมีมี่อีกสักครั้ง ด้วยการที่จะลองใจดูอีกทีให้แน่ใจว่ามีมี่ยังคงไม่ลืมชาติ กำเนิดซึ่งเป็นแมวนั้นจริง ๆหรือเปล่า เทพธิดาจึงได้บรรดาลให้หนูตัวหนึ่งวิ่งเข้าไปในบ้าน ซึ่งขณะนั้นมีมี่ กำลังพรอดรักอยู่กับผู้เป็นสามี อย่างหวานชื่น ครั้นเมื่อมีมี่มองเห็นหนูวิ่งผ่านหน้าไปเข้าเท่านั้น นางก็ สวมวิญญาญนักล่าขึ้นมาทันที นางกระโดดเข้าตะครุบหมายจะกินหนูทันทีเหมือนกัน นางร้องคำราม " เมียว ๆหนูตัวอ้วน ช่างน่ากินเหลือเกิน "เทพธิดาจึงด้วยความโกรธ " ในที่สุดในหัวใจและจิตใจของเจ้า ก็ยังคงไม่สามารถที่จะละทิ้งความเป็นแมว สัญชาติญาณของแมวอยู่อย่างเดิมนั่นแหละ..มีมี่...เราขอสาป ให้เจ้ากลับไปเป็นแมวอย่างเดิมของเจ้า แต่บัดนี้..."


" อ๊ะ..โธ่ ๆๆ...ที่แท้มีมี่...ก็เป็นแมวตัวหนึ่งน่ะหรือนี่..โธ่ ๆๆ " ชายหนุ่มให้เป็นเศร้าโศรกเสียใจ ร้องให้คร่ำครวญ เพราะรักและเสียดายมีมี่ที่ต้องจากไป...เทพธิดานึกสงสารชายหนุ่มอย่างมาก จึงดลบรรดาลให้ชายหนุ่มไป พบรักกับหญิงสาวที่เป็นคนจริง ๆนางหนึ่ง และแต่งงานอยู่กินกันอย่างมีความสุข...ส่วนมีมี่นั้น เมื่อนาง ได้กลับมาเป็นแมวอีกครั้ง ก็ได้พบรักกับแมวหนุ่มตัวหนึ่งเข้า และออกลูกออกมาหลายตัว มีมี่และลูก ๆมี ความสุขตามภาษาแมวกับการเที่ยวไล่จับหนูกิน ไปตามที่ต่าง ๆอย่างมีความสุข


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

จงพอใจในสิ่งที่ตนเป็นอยู่ดีที่สุดแล้ว


ที่มา

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

พระอาทิตย์กับลมพายุ


มีอยู่วันหนึ่งพระอาทิตย์กับลมพายุ ได้เกิดการทะเลาะและถกเถียงกันขึ้นมาว่า ใครจะเป็นผู้ที่มีพลังและ เก่งกล้าเหนือกว่ากันขึ้นมา ลมพายุได้เอ่ยขึ้นมาก่อนเลยว่า " เรานี่สิถึงจะเรียกว่ามีพลังมากกว่า อย่าง แน่นอนเพราะเพียงแค่ถ้าเราตั้งใจหรือจงใจที่จะเป่าลมใส่ให้แล้วละก็ทุกคนก็จะต้องหนาวสั่นและเดินถลาปริว กันไปหมดทุกคนเลยนั่นหละ " พระอาทิตย์เมื่อได้ฟังดังนั้นก็หาที่จะยอมแพ้ให้เลยสักนิดไม่ " เราต่างหาก เล่าที่มีพลังและเก่งกล้าเหนือกว่าท่าน ฮ่า ๆๆ เพราะถ้าเราจงใจหรือตั้งใจที่จะส่องแสงอันร้อนแรง เข้าใส่ให้แล้วละก็...ทุกคนจะต้องร้อน แล้วดีไม่ดีก็อาจโดนย่างจนตายไปก็ได้นะจะบอกให้ " เรียกว่าไม่มี ใครยอมแพ้ลดละ และยอมลงให้แก่กันเลยสักนิดเดียว

ลมพายุจึงพูดว่า " ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมาลองดวลประทะฝีมือประลองกันสักตั้งจะดีกว่ามั้ง ? " พระอาทิตย์ก็เห็นด้วยและตกลงใจตามความคิดของลมพายุนั้นเหมือนกัน " โน่นทางโน้น เห็นไหม ? กำลังมีชายคนเดินทางกำลังจะเดินผ่านมาทางนี้พอดีเลย ถ้าใครเป็น ผู้ที่สามารถทำให้ชายคนนั้นถอดเสื้อผ้าออกจนหมดได้ ผู้นั้นก็จะได้เป็นผู้ที่เก่งกล้าและมีความ สามารถเหนือกว่าและเป็นผู้ชนะไปแล้วกัน " ลมพายุจึงขอเป็นผู้ที่เริ่มก่อน โดยบอกว่า " ถ้าอย่างนั้น การต่อสู้ครั้งนี้ ความชนะเป็นของเราเลยทีเดียว เพราะชายคนนั้นใส่เสื้อคลุมอยู่แค่ตัวเดียวเท่านั้นเอง ฮ่า ๆๆๆ โดนเราเป่าเพียงแค่ฟู่เดียว เสื้อผ้าก็หลุดลุ่ยออกจนหมดแล้วแหละ...ฮ่า ๆๆๆ "

ว่าแล้วลมพายุก็ป้องปากแล้วพ่นลมอันแรงกล้าและหนาวเย็นอย่างสุดกำลัง พัดกระโชกเข้าปะทะกับชาย นักเดินทางผู้นั้น " ฮู่ ๆๆๆทำไมรู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างกระทันหันอย่างนี้นะ ใส่เสื้อตัวเดียวนี่คงจะช่วยกัน ความหนาวให้ไม่ได้เสียแล้วหละ " เมื่อชายผู้นั้นยิ่งโดนลมพัดเข้าปะทะมากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งกอดกระชับ เสื้อผ้าให้แนบแน่นติดตัวเข้าไปมากขึ้นเท่านั้น แล้วด้วยคงเกิดความรู้สึกว่าหนาวสะท้านจนไม่สามารถที่จะ ทนต่อไปได้อีกแล้วขึ้นมา ชายคนนั้นจึงได้ดึงเสื้อที่อยู่ในย่ามของเขาออกมาสวมใส่เข้าไปด้วยอีกหลายตัว ลมพายุเมื่อเห็นดังนั้น " อ้าว...อะไรทำไมถึงกลายเป็นพลิกล๊อกไปอย่างนั้นได้เล่า ? ถ้าอย่างนั้น ต้องเป่าลม เข้าใส่อีกครั้งเป็นการแถมท้าย " ว่าแล้วลมพายุจึงรวบรวมพลังขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้วเป่าลมเข้าใส่ชายผู้นั้น อย่างแรงเลยทีเดียว


ผลปรากฏว่า แทนที่เสื้อผ้าของชายคนนั้นจะโดนถอดออก ก็กลับกายเป็นยิ่งสวมใส่เข้าไปให้อีกตั้ง หลายตัวเสียอีกด้วย พระอาทิตย์จึงพูดขัดจังหวะขึ้นว่า " ท่านลมพายุ เปล่าประโยชน์เสียแล้วหละท่าน ฮ่า ๆๆๆ ต่อมาถึงเวลาที่เป็นคราวของเราแล้วหละ " พูดแล้วพระอาทิตย์จึงเริ่มโดยการแผ่ความร้อน ที่อบอุ่นฉายแสงให้ส่องไปทางชายคนเดินทางผู้นั้นทีละน้อย...ทีละน้อย... และเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จน ชายผู้นั้นเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมา เขาจึงถอดเสื้อออกเสียตัวหนึ่ง และแหงนหน้าขึ้นมองดูพระอาทิตย์แล้วพูดว่า " ว้าว...แดดเปรี้ยงดีจัง วันนี้เป็นวันอะไรน้า อ้า...เริ่มจะร้อนขึ้นมาแล้วนะนี่.. " เขาเดินเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นปาดเช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาอย่างไม่ยอมหยุดนั้น แล้วเดินต่อไปเรื่อย ๆ...

เมื่อเห็นดังนั้นพระอาทิตย์จึงยิ่งแผ่กระแสความร้อนให้ส่องเข้าไปให้อีกเป็นการตบท้าย... "ว้า...โอ้ย..ร้อน...ร้อนจริง ๆเลยนะเนี่ย ถอดเสื้อผ้าพวกนี้ออกทิ้งให้หมดเลย ไม่ใส่แล้ว" ชายคนเดิน ทางผู้นั้นด้วยความที่รู้สึกร้อนอย่างมาก เขาจึงถอดเสื้อผ้าของเขาที่ใส่อยู่นั้นออกทิ้งเสียทั้งหมด จนไม่มีอะไร หลงเหลือติดตัวอยู่เลย เรียกว่าร่อนจ่อนเลยทีเดียว แล้วได้กระโดดลงไปลอยคออยู่กลางแม่น้ำที่อยู่ใกล้ ๆ นั้นทันที...ลมพายุให้เป็นยกย่องสรรเสริญในพลังของพระอาทิตย์เป็นอย่างมาก และพูดว่า " แม้พลังของเรา จะมีมากมายแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ไม่สามารถที่จะบงการให้คนทำตามคำสั่งอย่างที่ต้องการได้เลยสักนิดเดียวจริง ๆ " ...ดังนั้นงานนี้..พระอาทิตย์จึงได้เป็นผู้ชนะลมพายุไปอย่างขาดลอยในที่สุด...

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ไม่ใช่ว่ามีพลังอยู่เท่าไหร่ ๆก็ใช้หักโหมเข้าใส่แต่เพียงอย่างเดียว....แล้วทุกอย่างจะสำเร็จสมความมุ่งหมาย ท่านว่าให้ค่อย ๆทำ ไปทีละเล็กทีละน้อยทีละขั้นทีละตอน ตั้งเข็มด้วยความสงบและมั่นคง แล้วความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นมาตามความมุ่งหมาย ที่ตนต้องการอย่างแน่นอน....

ที่มา

http://sukumal.net/isoppu/kasetotaiyo/kasetotaiyo01.html

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2551

คนตัดไม้กับขวานเงินขวานทอง

เสียง " ก้าง..กอง..ก้าง..กอง.." ของขวานที่จามลงไปบนต้นไม้ดังออกมาจากในป่าที่อยู่ติดแม่น้ำ ใหญ่สายหนึ่งเป็นจังหวะ..คนตัดไม้ผู้ยากจนผู้หนึ่งกำลังใช้ความพยายามและพลังที่เขามีอยู่ทั้งหมด นั้นตัดต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีเนื้อไม้ที่แข็งมากเขาเพียรพยายามที่จะโค่นมันมาตั้งแต่เช้าแล้ว..." เฮ้อ.. ทำไมมันถึงตัดยากตัดเย็นแบบนี้นะ..สงสัยเพราะขวานของเราทื่อและเก่ามากละมั้งนี่ "เขาพูดบ่นขึ้น ด้วยความโมโห...ดังนั้นเขาจึงเงื้อมือยกขวานเล่มนั้นขึ้นจนสุดแรงเกิดเพื่อหวังจะจามลงไปบนต้นไม้ ต้นนั้นอีกครั้ง..แต่แล้วคงเป็นเพราะโชคของเขาคงจะไม่ดีเอาเลยวันนี้...ขวานที่เขาเงื้อมันขึ้นจนสุดมือ นั้นเกิดกระเด็นหล่นจากมือแล้วพลัดตกลงไปในแม่น้ำใหญ่สายนั้นเข้า...

ด้วยแม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำสายใหญ่และลึกมาก ชายคนตัดต้นไม้จึงไม่สามารถที่จะลงไปงมขวานขึ้นมา ได้และด้วยความที่จนปัญญาเขาเลยย่อตัวลงนั่งคุกเข่าลงนั่งที่ริมแม่น้ำและคร่ำครวญออกมาว่า " โธ่ ..โธ่.. ไม่น่าเลย แล้วทีนี้ข้าจะทำยังไงดีเล่า ขวานก็มีอยู่แค่เล่มเดียวนี่เอง ฮื่อ ๆๆ " เขาได้แต่คร่ำครวญอยู่อย่าง นั้น...แล้วอยู่ๆก็เกิดสิ่งประหลาดที่บนผิวน้ำขึ้น..สายน้ำที่ไหลนิ่งสงบอยู่ นั้น..พลันเกิดและกลายเป็นสาย น้ำวนหมุนเป็นวงขึ้นมาและตรงกลางสายน้ำวนนั้นก็บรรดาลให้มีเทพเจ้าองค์หนึ่งยืนอยู่ในมือถือขวาน ทองที่มีแสงเป็นประกายเรื่องรองระยิบระยับอยู่นั่นมิใช่หรือ?


เทพเจ้ายกขวานทองเล่มนั้นชูขึ้น แล้วถามชายคนตัดไม้ว่า " ขวานที่เจ้าทำตกลงไปเป็นอันนี้ใช่ไหม ? " ชายคนตัดไม้รีบตอบกลับไปว่า " ไม่ใช่หรอกท่านขวานที่ข้าน้อยทำตกลงไปไม่ใช่ขวานทองเล่มนี้ หรอกท่านเทพเจ้า " เทพเจ้าจึงหายลงไปสู่ใต้พื้นน้ำแล้วโผล่ขึ้นมาอีกครั้งพร้อมด้วยขวานเงิน " คราว นี้คงใช่อันนี้ใช่ไหม?ขวานที่เจ้าทำตกลงไปน่ะ " ชายคนตัดไม้ก็ตอบปฏิเสธไปอีกว่า " ไม่ใช่...ท่านเทพเจ้า อันนี้ก็ไม่ใช่ขวานของข้าน้อยหรอก..ขวานของข้าน้อยไม่ใช่ขวานเงิน "


เทพเจ้าจึงดำลงสู่พื้นน้ำอีกครั้งแล้วกลับขึ้นมาพร้อมด้วยขวานที่บิ่นจนทื่อและเก่าอันนั้น..ชายคน ตัดไม้รีบพูดขึ้นด้วยความดีใจอย่างที่สุดว่า " ใช่..ใช่แล้วท่านเทพเจ้าขวานเล่มนี้แหละ..ที่ข้าน้อยทำตกลง ไปเมื่อสักครู่นี้ " เมื่อเทพเจ้ายื่นขวานเล่มนั้นให้กับเขาแล้วเขาก็พร่ำพูดกล่าวขอบคุณเทพเจ้าไม่ยอมหยุด เลยทีเดียว...ด้วยดีใจที่ได้ขวานของตนคืน


" เจ้าเป็นคนใจซื่อ ไม่โกหกพกลมสมควรที่ข้าจะต้องให้รางวัลแก่เจ้า เอ้า..นี่ทั้งขวานเงินและขวานทอง สมควรที่จะเป็นของเจ้าแล้ว " พูดจบเทพเจ้าก็จางหายไปจากตรงนั้น...ชายคนตัดไม้ให้เป็นดีใจอย่างเหลือ คณานับที่อยู่ ๆก็โชคดีได้เป็นเจ้าของขวานเงินและขวานทองทีเดียวพร้อมกันเลย..เมื่อเขากลับมาถึงหมู่ บ้านแล้วก็ได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆที่ตนได้ประสบมานั้นให้กับเพื่อน ๆที่เป็นคนตัดไม้เป็นอาชีพด้วยกัน ฟังด้วยความดีใจ...

และในจำนวนเพื่อนคนตัดไม้นั้นมีคนตัดไม้ผู้โลภมากร่วมฟังอยู่ด้วย...คนตัดไม้ผู้โลภมากจึงคิดที่อยากจะ ได้ขวานเงินและขวานทองไว้เป็นเจ้าของมั่ง...เขาจึงรีบไปที่แม่น้ำสายนั้นทันทีพอมาถึงก็โยนขวานของ ตนลงไปในแม่น้ำสายนั้นทันทีทันใด..แล้วเทพเจ้าก็ออกมาปรากฏกาย...ในมือนั้นถือขวานทองไว้เสียด้วย สิ...



คนตัดไม้ผู้โลภมาก เมื่อเห็นขวานทองที่ตนต้องการอย่างมาก นั้นเข้าก็รีบตะโกนบอกกับเทพเจ้าว่า " ขวาน ที่ข้าทำตกลงไปน่ะเป็นขวานทองแล้วก็ขวานเงินด้วยนะ...ท่านเทพเจ้า " เทพเจ้าเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ทรงพิ โรธอย่างมาก " เจ้ามันคนโลภมาก โกหกพกลม ข้าไม่มีขวานเล่มไหนที่จะมอบให้กับเจ้าหรอก " กล่าวแล้ว เทพเจ้าก็จางหายไป...คนตัดไม้ผู้โลภมากจึงไม่ได้ขวานหรืออะไรเลยสักอย่าง..แล้วยังแถมต้องเสียแม้แต่ ขวานของตนไปเสียอีกด้วย...

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
.....โลภมาก.....มักลาภหาย.....

ที่มา

http://sukumal.net/isoppu/kintogin/kintogin01.html